คลิกที่ภาพ เพื่อ dowload file ค่ะ

คลิกที่ภาพ เพื่อ dowload file ค่ะ

คลิกที่ภาพ เพื่อ dowload file ค่ะ

ไอเดียทำงานศิลปะ ให้เด็กๆเสริมสร้างจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์  คลิกที่ภาพ เพื่อ download file ได้เลยค่ะ

Click on the buttons below to download these fun craft idea worksheets in PDF format. 

ในสภานการณ์ COVID-19 ในปัจจุบัน เด็กๆต้องเรียนอยู่ที่บ้าน แบรนด์ Orchard Toys มีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้เด็กๆสามารถสนุกกับการเรียนรู้ และเราต้องการสนับสนุนให้ทุกครอบครัว สามารถที่จะเสริมการเรียนรู้ของเด็กได้ ถึงแม้จะไม่ได้ไปที่โรงเรียน เราจึงจัดทำกิจกรรมเสริมการเรียนรู้ ที่ผู้ปกครอง สามารถพิมพ์ ให้เด็กๆไปเล่นได้เมื่ต้องอยู่ที่บ้านค่ะ

Orchard Toys has been providing ‘Learning Made Fun’ for families and we are doing everything we can to be able to continue to support parents and children at this challenging time. We want to ensure that children are able to continue learning, regardless of whether they are at home or in a classroom. We have a collection of FREE Things to Do which parents can use with your child at home.

คลิกที่ภาพ เพื่อ dowload file ค่ะ 

1. สอนให้ลูกรู้จักความล้มเหลว

หากเด็กมีเพียงความฉลาดทางด้านอื่นแต่ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ เด็กคนนั้นย่อมกลายเป็นคนที่ไม่มีความสุข การที่สอนให้เด็กรู้จักข้อผิดพลาด รู้ความสำคัญของความล้มเหลว และนำข้อผิดพลาดเหล่านั้นกลับไปพัฒนาตนเอง ย่อมเป็นการใช้ประโยชน์จากความล้มเหลวนั่นได้อย่างชาญฉลาด

2. สอนให้ลูกรู้จักตัวเอง

หาแรงจูงใจว่าสิ่งใดคือสิ่งที่ลูกชอบ เพราะการที่ลูกได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ จะสามารถพัฒนาทักษะและความสามารถได้อย่างดี

3. พาลูกไปทำกิจกรรมที่ได้ออกกำลัง

ร่างกายเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้สมอง การที่ลูกได้ออกกำลัง ฝึกการทรงตัว หรือแม้แต่เล่นกีฬาเป็นทีม จะช่วยให้สมองและร่างกาย มีการพัฒนาที่สัมพันธ์กัน อีกทั้งการออกกำลังกายจะช่วยให้ลูกรู้สึกสดชื่น เนื่องจากมีเลือดไปเลี้ยงสมองเพิ่มขึ้นอีกด้วย

4. สร้างโอกาสในการเรียนรู้

พาลูกไปเจอสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ได้มีประสบการณ์ใหม่ๆจากโลก ให้ลูกได้ลองเรียนรู้ด้วยตัวเอง ผ่านคำแนะนำของคุณพ่อคุณแม่

5. ให้เล่นของเล่นหลากหลายรูปแบบ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าของเล่นย่อมอยู่คู่กับเด็ก แต่เราจะเลือกของเล่นแบบไหนที่ เหมาะกับลูกของเรา พร้อมทั้งพัฒนาทักษะในด้านต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ได้ใช้เวลาไปกับลูกน้อยพร้อมกับพัฒนาลูกไปในตัวด้วยค่ะ

1. พูดและอ่าน

การพูดคุยกับลูกเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆนะคะ หลายๆคนอาจจะคิดว่าการพูดหรือเล่าเรื่องต่างๆให้ลูกฟังตั้งแต่ยังเด็ก ไม่มีประโยชน์ เพราะลูกคงไม่เข้าใจ แต่จริงๆแล้ว การพูดคุยตั้งแต่ช่วงที่เจ้าตัวน้อยยังเป็นทารก จะทำให้เกิดความผูกพันธ์ระหว่างแม่ลูก หรือ คนในครอบครัว พร้อมเสริมระดับไอคิวในการจดจำคำศัพท์ต่างๆให้กับลูกของคุณอีกด้วยนะคะ

นอกเหนือจากนี้ การอ่านหนังสือประเภทต่างๆ อย่างเช่น การอ่านหนังสือนิทาน จะช่วยให้เจ้าตัวน้อยได้เรียนรู้เรื่องอารมณ์ และความรู้สึก ซึ่งสองสิ่งนี้จะส่งผลโดยตรงกับ EQ ต่อไปในอนาคตค่ะ

2.. เคารพการตัดสินใจ

การเปิดโอกาสให้เจ้าตัวน้อยได้ กล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจในเรื่องง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกเสื้อผ้า การเลือกกิจกรรมในแต่ละวัน รวมไปถึงการฝึกการดูแลตัวเองตามวัยที่เหมาะสม เช่น การทานข้าว หรือ อาบน้ำ จะทำให้ลูกของคุณกล้าตัดสินใจ มีความเป็นผู้นำ และยังช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์อีกด้วย

3. กฏเกณฑ์ ระเบียบ วินัย

การใช้ความรักความเข้าใจ ควบคู่ไปกับการสร้างระเบียบวินัยให้กับลูก เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นมากๆนะคะ เพราะจะทำให้ลูกของคุณรู้จักความรับผิดชอบ และสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ตามวัย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องไม่ควบคุมมากเกินไป หรือ น้อยเกินไป สายกลางเหมาะที่สุดค่ะ

4. สนุกไปกับของเล่นเสริมทักษะ

ของเล่นเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเด็กในแต่ละวัย ไม่ว่าเป็นการช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว การเสริมสร้างทักษะเฉพาะในแต่ละด้าน รวมไปถึงการพัฒนาส่วนต่างๆของร่างกาย ดังนั้น การเลือกของเล่นจึงเป็นสิ่งสำคัญและต้องพิถิพิถัน เพื่อให้เด็กๆทั้งสนุก และมีโอกาสได้เรียนรู้ควบคู่กันไปอีกด้วยค่ะ

คลิกที่ภาพ เพื่อ dowload file PDF ค่ะ 

มีบ้านไหนชอบทานขึ้นฉ่ายฝรั่งบ้างมั้ยคะ ส่วนตัวรู้สึกว่าต้นค่อนข้างใหญ่มาก เวลาซื้อมาทำอาหารแล้วมักจะทำไม่หมด วันนี้เลยจะมาแนะนำเพื่อนๆนำมาให้ลูกๆทำงานศิลปะได้ วันนี้เราจะมาลองทำ Rainbow Fish กันนะคะ

วิธีทำ

1. หั่นก้านขึ้นฉ่ายเป็นท่อนๆ ประมาณ 3 นิ้ว บีบสีกลายๆสีบนกระดาษ

2. วาดรูปปลาที่ตัวเองต้องการให้ตัวใหญ่หน่อยเพื่อให้มีพื้นที่สแตมป์สีลงไป

3. ลงมือนำก้านขึ้นฉ่ายสแตมป์สีตามที่ตัวเองต้องการเลย

4. เสร็จแล้วนำไปตากแดดให้แห้ง ก็จะได้งานศิลปะที่สวยไว้ประดับห้องแล้ว

วิธีการ

• 1. กำหนดพฤติกรรมเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมชัดเจน เช่น ล้างก้นเองจนสะอาดเมื่อขับถ่ายเสร็จทุกครั้งโดยไม่ต้องมีใครช่วย
• 2. กำหนดเงื่อนไขกับลูกว่า รางวัลที่ได้คืออะไร โดยให้ลูกมีส่วนร่วมในการคิด เช่น ถ้าลูกล้างก้นเองตามข้อกำหนดได้สามวันติดกัน แม่จะให้สิทธิ์ เล่นเกมส์ได้เพิ่มครึ่งชม. ห้าวันติดกันแม่จะพาไปกินไอศกรีมนอกบ้าน เจ็ดวันติดกันจะได้โมเดลหุ่นยนต์ชุดใหม่ เป็นต้น ซึ่งคุณค่าของรางวัลควรให้คู่ควรเพิ่มขึ้นกับระยะเวลาที่มากขึ้นลูกต้องอดทนรอคอย
• 3. เมื่อลูกทำได้ ให้ลูกติดสติกเกอร์รูปดาวหรือระบายสีรูปดาวในวันนั้นๆ บนตารางดาว ซึ่งอาจติดไว้ในที่ที่มองเห็นได้ชัดเจน เพื่อให้เด็กมีกำลังใจและเป็นแรงกระตุ้นให้ทำต่อ
• 4. รักษากฎที่ให้ไว้กับลูกเสมอ ห้ามผิดสัญญาและชื่นชมถ้าลูกทำได้ ถ้าลูกพลาด ให้กำลังใจ ไม่ซ้ำเติม เชียร์ให้ลูกทำตามให้ไปถึงเป้าหมาย

การต่อจิกซอว์มีประโยชน์กับพัฒนาการของเด็กมาก ๆ ค่ะ

• 1. ทำให้มีสมาธิ มีสติมากขึ้นเพราะเวลาต่อจิ๊กซอว์ เราจะมีจิตใจจดจ้อง หรือจ่ออยู่กับจิ๊กซอว์แต่ละตัวที่กำลังหาที่ลงให้ได้
• 2. เป็นการฝึกการสังเกต เพราะจิ๊กซอว์แต่ละชิ้นที่จะนำมาต่อนั้น มันจะมีจุดเชื่อมต่อกันอยู่แม้เพียงน้อยนิด ถ้าสังเกตดีๆ ก็จะเห็น
• 3. เป็นการฝึกความเพียร อดทน เพราะกว่าจะหาช่องลงให้จิ๊กซอว์แต่ละชิ้นนั้น ต้องใช้ความพยายามพอสมควร
• 4. ฝึกการทำงานที่ละเอียด เพิ่มความรอบคอบ
• 5. สร้างความผูกพัน หากไม่สามารถต่อได้โดยลำพัง หรือเกิดอาการเบื่อ ให้คนข้างๆช่วยต่อได้ เพื่อเป็นการใช้เวลาว่างร่วมกัน ทำให้เกิดความผูกพันกันมากยิ่งขึ้น
• 6. ได้ความภูมิใจ ได้ภาพแขวนสวยๆ จากฝีมือตัวเอง เพื่อให้เป็นของขวัญได้
• 7. เด็กๆก็สามารถต่อได้ แรกๆ ให้ใช้ภาพขนาดเล็กๆ ชิ้นจิ๊กซอว์ใหญ่ๆพอสมควร อาจจะเป็นรูปภาพการ์ตูน หรือภาพที่ไม่มีความซับซ้อนของสีสัน หรือรายละเอียดมากนัก หรืออาจจะเอาแบบที่มีตัวเลขอยู่ข้างหลังด้วยก็ได้ เมื่อเด็กคุ้นเคยแล้ว ต่อจากนั้นค่อยเพิ่มความซับซ้อนของรูปภาพ ลดขนาดชิ้นของจิ๊กซอว์ลงก็ได้

ความมหัศจรรย์ของช่วงวัยเด็กวัย 3-4 ขวบ คือ เด็กจะเริ่มรวบรวม สังเกต และเรียนรู้ จากประสบการณ์ที่เขาได้พบเจอ มาคิดวิเคราะห์ เพื่อความพร้อมในการเรียนรู้โลกกว้างได้อย่างสมบูรณ์ ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่คุณพ่อคุณแม่ช่วยเสริมพัฒนาการด้านการคิดวิเคราะห์ และความมีเหตุผลให้กับลูก

รู้ใจเด็กวัย 3-4 ขวบ

เด็กช่วงก่อนวัยเรียนจะมีกระบวนการพัฒนาเกี่ยวกับการเรียนรู้ และการทำความเข้าใจสิ่งแวดล้อม โดยการรวบรวมไว้จากประสบการณ์ของตัวเอง เพื่อนำไปสู่การเข้าใจโลกรอบตัว แต่เด็กจะเข้าใจสิ่งที่ตาเห็นมากกว่าการเข้าใจโดยใช้หลักตรรกะ จึงจำเป็นจะต้องผ่านกระบวนการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบหลายๆ ครั้ง ก่อนที่เขาจะสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ต่างๆ ได้ โดยการเรียนรู้เกิดจากความยากลำบากและความผิดพลาดในแต่ละวัน สิ่งที่ต้องทำก็คือจดจำวิธีการหรือกระบวนการคิดของเด็กให้ได้ ซึ่งลักษณะส่วนใหญ่ของเด็กวัยนี้จะมีดังนี้

ตัดสินด้วยสิ่งที่เห็น: เมื่อเด็กเห็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น มันเป็นการยากที่เด็กจะเข้าใจว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นแตกต่างกันอย่างไร ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณเทขนมรูปสัตว์ออกจากกล่องหนึ่งไปอีกกล่องหนึ่ง ซึ่งเล็กกว่า พอมันล้น หากเราถามว่าทำไมถึงมีขนมมากขึ้น เขาจะไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น

มองของสิ่งเดียวในเวลาเดียว : เด็กวัยนี้เป็นเรื่องยากที่เขาจะโฟกัสสิ่งของอื่นๆ ด้วย นอกเหนือจากสิ่งที่อยู่ในการรับรู้ เขาจะมองเห็นของที่อยู่ในความสนใจเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น ถ้าหากเราให้บล็อกที่มีขนาดแตกต่างกัน ทั้งสีและรูปทรง เด็กวัย 3 ขวบ จะแบ่งเป็นกลุ่มด้วยการแยกขนาด ไม่ได้คำนึงถึงการแยกตามสี อย่างไรก็ตามเด็กจะเริ่มแยกได้หลายคุณสมบัติเมื่ออายุมากขึ้น

ไม่รู้เรื่องจำนวน: เด็กจะยังไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างจำนวน ตัวเลข และปริมาณ เช่น เขาอาจจะนับได้ว่าของเล่นมีกี่ชิ้น แต่ยังไม่เข้าใจเรื่องปริมาณมากกว่าหรือน้อยกว่า ไม่รู้ว่าของห้าชิ้นมากกว่าของสามชิ้น หรือถ้าหากให้เหรียญสิบ กับเหรียญห้า เขาก็จะไม่เข้าใจว่าเหรียญสิบมีมูลค่ามากกว่าเหรียญห้า แต่ในความเข้าใจคือมีจำนวน 1 เหรียญเท่ากัน

พ่อแม่ทำอย่างไรดี?

เปิดโอกาสให้เด็กเรียนรู้: คุณพ่อคุณแม่บางท่านที่มีลูกชอบกระโดดไปมาทางโน้นทางนี้วุ่นวายไปหมด สิ่งที่ควรทำก็คือพาลูกออกไปข้างนอก ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะ หรือส่งเสริมให้ลูกได้มีวัสดุอุปกรณ์ที่ช่วยให้เขาได้สำรวจหรือเรียนรู้โลกรอบตัวให้มากที่สุด

ส่งเสริมความอยากรู้อยากเห็นและทักษะในการคิด: ลองหาสิ่งแปลกใหม่และตั้งคำถามที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่ทำอยู่ เช่น ให้เขาเปรียบเทียบความยาวของของใช้ต่างๆ ภายในบ้าน หรือหากิจกรรมที่ได้ใช้ทักษะในการออกแบบ เช่น ซื้อลูกปัดหลากสี และพวกหินต่างๆ ที่หลากหลาย เพื่อให้เด็กได้ออกแบบร้อยลูกปัดเป็นสร้อยคอ หรือการต่อโลโก้สร้างเป็นเมือง หรือปราสาทแสนสวย

อธิบายสิ่งที่เป็นเหตุและผลของเหตุการณ์ต่างๆ: ตั้งคำถามปลายเปิดให้ลูกได้คิดหาคำตอบด้วยตัวเองก่อน แล้วจึงค่อยอธิบายให้ลูกฟังเกี่ยวกับผลที่เกิดขึ้นจริง หรือจะให้ลูกลงมือทำเพื่อค้นหาคำตอบด้วยก็ได้ เช่น การทำไข่เจียว ปกติจะใช้ไข่เพียงแค่ 1-2 ฟอง ก็อาจจะถามว่า ถ้าเราใช้ไข่ 4 ฟองจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ลองให้ลูกบอกคำตอบไว้ล่วงหน้า แล้วทดลองไปพร้อมๆ กัน เมื่อเจียวไข่เสร็จแล้วก็ตรวจคำตอบไป โดยคุณอาจจะอธิบายในแง่ของวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ไปด้วยก็ได้ หรือถ้าหากเป็นเด็กเล็กอาจจะสอนคำศัพท์จากการเจียวไข่ไปด้วย

ท้าทายให้เด็กใช้ความคิดสม่ำเสมอ: ในแต่ละวันเด็กๆ ควรจะได้เล่นต่อบล็อกและอ่านหนังสือหรือไม่ก็รื้อของเล่นอย่างอื่น เราก็ควรจะฉวยโอกาสนี้ บอกให้เขาจัดกลุ่มสิ่งของให้เป็นหมวดหมู่ ซึ่งก็แล้วแต่ว่าเขาจะจัดแบ่งตามขนาด สี หรือรูปทรงก็ได้ แล้วก็ให้เขาอธิบายถึงความแตกต่างของสิ่งของแต่ละชิ้นด้วย นอกจากนี้การตั้งคำถามให้เด็กจัดหมวดหมู่และแยกความแตกต่างของสิ่งของนี้ เราสามารถนำไปใช้ในเรื่องอื่นได้เช่นกัน

ที่มา : http://www.kodomoclub.com/

“10 เหตุผล ทำไมเราต้องเล่นบอร์ดเกมส์ ?”

บอร์ดเกมส์เล่นได้ตั้งแต่เด็กจนโต มันช่วยฝึกอะไรหลายอย่าง ลองอ่านดูนะคะ มีประโยชน์มากเลย

เครดิตเรื่องจาก www.geekplanets.com

Taking Turn: อย่างแรกเลยที่ผมรู้สึกเกี่ยวการเล่นบอร์ดเกมส์คือการ Taking Turns เอาง่ายๆเป็นศัพท์ไทยเลยน่าจะเป็น การรู้จักคอยนั้นเองครับ เพราะในบอร์ดเกมส์ส่วนใหญ่นั้นจะเล่นเป็นเทิร์น เมื่อไม่ได้อยู่ในเทิร์นของตัวเอง สิ่งที่คุณทำได้คือการรอ แม้ว่าในใจคุณอยากจะจั่วการ์ด หรืออยากจะเดินมากแค่ไหน แต่ก็ทำไม่ได้ครับ สิ่งที่คุณทำได้คือรอ และสกิลนี้เหมาะมากแก่การนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันมากนะครับ

Math Skill: มาถึงสกิลที่สองที่นับว่าโดดเด่นมากในการเล่นบอร์ดเกมส์นั้นคือ การคิดเลขนั้นเอง อาจจะไม่ใช่เลขหลักแสนหลักล้าน แต่อย่างน้อยมันช่วยเพิ่มทักษะการคิดเลขเร็วให้กับคุณได้นะ แล้วในชีวิตจริงส่วนใหญ่คุณก็คิดเลขหลักประมาณนี้แหละครับ

Mental Agility: แน่นอนครับสกิลที่หนีไม่พ้นเลยคือการฝึกสมองนั้นเอง การเล่นบอร์ดเกมส์เรื่อยๆจะช่วยฝึกสมองคุณให้เฉียบคมมากขึ้นทีละนิด และยังฝึกการคิดแบบ Strategic Thinking หรือการคิดเชิงกลยุทธ์อีกด้วย
Thinking Ahead: นี่เลยสกิลอันเชียบขาดในการเล่นบอร์ดเกมส์ ผู้ที่เล่นบอร์ดเกมส์ทุกคนจะต้องมีสกิลการคิดล่วงหน้าติดตัวแน่นอน อย่างน้อยก็ต้องเดาใจฝั่งตรงข้ามว่าเขามาจะแนวไหน สกิลนี้เหมาะมากในการทำงานแนว Creative หรือ Strategy มันจะช่วยให้คุณสามารถมองเหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างน้อยหนึ่ง step ในการทำงาน

Action & Consequences: อันนี้ก็ถือเป็นสกิลโหดอีกอันนึงจากการเล่นบอร์ดเกมส์ คือการลงมือทำ และ การเรียงลำดับความสำคัญของงานต่างๆ ซึ่งแน่นอนครับ ในชีวิตจริงมันช่างมั่วกันไปหมด ถ้าเราสามารถจัดวางเรียงลำดับการ action ของเราได้แบบในบอร์ดเกมส์ ชีวิตเราจะดีขึ้นอีกเยอะเลยครับ

Making Though Choices: ในชีวิตประจำวันคุณต้องมีการตัดสินใจเลือกอะไรที่ยากลำบาก เช่น ไข่ดาวหรือไข่เจียว ไข่สุกหรือไม่สุก ซึ่งบางครั้งใจเราอยากจะเก็บเธอไว้ทั้งสองคน แต่คงเป็นไปไม่ได้ #บอร์ดเกมส์ก็เช่นกัน การตัดสินใจนั้นมีมาในทุกๆเทิร์นของการเล่น ดังนั้นสกิลการตัดสินใจของคุณจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากเมื่อคุณเริ่มเล่นบอร์ดเกมส์ เพราะคุณจะสามารถชั่งใจได้ว่า ตัดอะไรทิ้งจะทำให้คุณเสียหายน้อยที่สุด

Teamwork: บอร์ดเกมส์บางประเภทนั้นคุณจะต้องร่วมสู้รบไปกับเพื่อนของคุณ ซึ่งจะทำให้คุณเกิดการเล่นเป็นทีม ในชีวิตจริงก็เช่นกัน คุณอาจจะต้องร่วมทำงานกับทีมใหม่ๆเสมอ ดังนั้นถ้าคุณมีสกิลการเล่นเป็นทีมที่เต็มเปี่ยมคุณจะเข้ากับทีมใหม่ๆได้อย่างไม่ยากเลยละครับ No one man shows, only one team shows.

Being a Good Sport: รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย บอร์ดเกมส์คือเกมส์ เกมส์ก็เหมือนกีฬา คุณแพ้ คุณชนะ คุณตายทั้งคู่ แล้วแต่เกมส์จะออกแบบมา ดังนั้น การเล่นบอร์ดเกมส์จะช่วยเพิ่มสกิลการให้อภัย รู้ว่าทำไมเราถึงชนะ ทำไมเขาถึงแพ้ หรือทำไมคุณถึงตายทั้งสองคน การเป็น player ที่ดีนั้นจะต้องมีสกิลนี้ติดตัวเสมอนะครับ ยิ่งในชีวิตจริงคุณมีสกิลนี้มากอยู่แล้วละก็ คุณจะเท่ห์ขึ้นอีกเยอะเลยละครับ

Cutting the Cord: บางครั้งเราก็ต้องการตัดตัวเองออกจากโลกดิจิทัลบ้างใช่ไหมครับ บอร์ดเกมส์เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ทำให้คนคุยกัน, พูดจากัน, หัวเราะร่วมกันเหมือนเดิม โดยไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์ดิจิทัลสมัยใหม่เลย ดีใช่ไหมละครับ?

Building a Bond: และหลังจากที่ทุกคนหันมาคุยกันเหมือนเดิมโดยไม่ต้องพึ่งสมาร์ทโฟน แน่นอนครับ ความสัมพันธ์ของคนก็เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว หรือเพื่อนที่เล่นด้วยกัน คุณจะยิ่งซี้กันขึ้นไปอีก เล่นเสร็จก็ไปหาเหล้ากินต่ออะไรประมาณนั้น

คุณพ่อคุณแม่รู้ไหมคะว่า เด็กคือนักคิดสร้างสรรค์และครีเอทีฟตัวยงเชียวนะคะ สังเกตได้จากคำพูด คำถาม และการแสดงออกที่มาจากจินตนาการของเขาดูซิคะว่าหลายๆ ครั้งเขาก็ทำให้เราประหลาดใจไม่น้อยเลย คุณพ่อคุณแม่คนไหนอยากรู้ว่าลูกมีจินตนาการในระดับที่สามารถส่งเสริมให้โดดเด่นจนพัฒนาให้เป็นทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ได้หรือไม่ มาเช็คกันเบื้องต้นตรงนี้ค่ะ ทั้งนี้ก็ต้องอย่าลืมส่งเสริมลูกในสิ่งที่ลูกเองมีความชอบและความสนใจนะคะ

ลูกบ้านไหนที่ทำได้หรือมีมากกว่า 5 ข้อนี้ คุณพ่อคุณแม่มั่นใจได้เลยค่ะว่าพลังความคิดสร้างสรรค์ของเขาโดดเด่นไม่แพ้ใครแล้ว ซึ่งถ้าคุณพ่อคุณแม่เสริมสร้างทักษะอีกสักนิดด้วยวิธีต่อไปนี้ รับรองเลยว่าในอนาคตข้างหน้า เขาจะใช้ทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ในการทำงานจนอาจกลายเป็นกลายเป็นครีเอทีฟโฆษณา นักสร้างหนัง นักการตลาด หรือแม้แต่นักธุรกิจที่เห็นโอกาสใหม่ๆ เสมอค่ะ

วิธีที่ 1 : ตั้งคำถามปลายเปิดกับทุกการพูดคุย ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเล็กน้อยแค่ไหน เพื่อกระตุ้นให้ลูกใช้ความคิด กล้าแสดงออก รวมถึงสามารถถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองได้จากความคิดเหล่านั้นโดยไม่มีถูกผิด เช่น ทำไมลูกถึงชอบตุ๊กตาล่ะ เมฆบนฟ้าเป็นรูปอะไร รู้ไหมว่าถ้าไม่แปรงฟันจะเกิดอะไรขึ้นฯลฯ

วิธีที่ 2 : พาลูกไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ เช่น สวนสนุก สวนสาธารณะ พิพิธภัณฑ์ หรือแม้แต่บ้านเพื่อน บ้านญาติพี่น้อง เพื่อให้ลูกได้มอง สังเกต และจดจำสิ่งต่างๆ รอบตัวที่มีความหลากหลายซึ่งจะเป็นเหมือนสร้างคลังข้อมูลที่ลูกจะนำไปใช้ในกระบวนการคิด และการประติดประต่อเรื่องราวต่างๆ ในอนาคต

วิธีที่ 3 : สร้างชั่วโมงกิจกรรมบันเทิงอยู่เสมอ เช่น ร้องหรือฟังเพลงที่ชอบ ดูหนังเรื่องโปรด หรือวาดภาพตามจินตนาการ เพื่อช่วยให้ลูกอารมณ์ดี ผ่อนคลาย และมีอิสระให้การคิดโดยไม่ติดกรอบข้อบังคับใดๆ ยิ่งลูกเปิดจินตนาการได้มากเท่าไหร่ ความคิดสร้างสรรค์ก็จะยิ่งมีมากเท่านั้นนะคะ

วิธีที่ 4 : ฝึกจดบันทึกให้เป็นนิสัย คุณแม่ลองชวนลูกมาทำสมุดบันทึกเล็กๆ เพื่อจดประโยคสั้นๆ ที่ลูกชอบ หรือจะวาดภาพ ติดสติ๊กเกอร์ ติดรูปภาพ แทนการเขียน จะช่วยเตือนความจำหรือลูกสามารถเปิดขึ้นมาดูเพื่อนำมาใช้งานได้

วิธีที่ 5 : ไม่ควรพูดว่า “ไม่” และ “อย่า”กับลูก เมื่อลูกกำลังแสดงความคิดเห็น หรือกำลังสร้างจินตนาการ เพราะคำพูดเหล่านี้จะทำให้ลูกไม่กล้าคิดเพราะกลัวความผิด กลัวความแตกต่าง หากคุณพ่อคุณแม่เห็นว่าสิ่งที่ลูกทำไม่ทำให้เกิดอันตรายหรือไม่สร้างความคิดในแง่ลบ ก็ควรปล่อยให้ลูกแสดงออกได้อย่างเต็มที่ โดยเราทำหน้าที่เป็นเพียงผู้แนะนำและสนับสนุนค่ะ

Credit http://www.rakluke.com/ สำหรับบทความนี้